บทที่ 9 ร้ายกาจที่สุด (50%)
“นั่นสิ ฉันลืมไปเลย ว่าเธอไม่มีแม่นี่นา” คนที่ตั้งใจเข้ามาหาเรื่องก่อกวนนักเรียนใหม่ของห้องกอดอกสาดน้ำคำแทงใจดำคนฟัง แล้วยิ้มเยาะอย่างสะใจเมื่อเห็นเธอตาแดงๆ
“ฉันมีแม่!” คิริมาเชิดหน้าตอบโต้เสียงแข็งๆ ทั้งที่น้ำตาเจียนจะหยดแหมะอยู่รอมร่อ พยายามจะไม่แสดงความอ่อนแอให้อีกฝ่ายได้ใจ แต่มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ถึงแม้แม่จะจากไปเกือบจะครบหนึ่งปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแต่เธอก็ยังคงอาลัยอาวรณ์ท่านไม่เสื่อมคลาย เธอยังคิดถึงและโหยหาอ้อมกอดของแม่ คนมีแม่ไม่เข้าใจหรอกว่าในวันแม่คนที่ขาดแม่มันรู้สึกอ้างว้างและเจ็บปวดหัวใจมากแค่ไหน
“เธอไม่มีแม่!”
“ฉันมีแม่! ฉันมีแม่พวกเธอได้ยินไหม!”
“เธอไม่มีแม่! แม่เธอตายแล้ว! ยัยเด็กไม่มีแม่!”
สามสาวประสานเสียงตะโกนใส่หน้าคนที่ตกเป็นแกะดำของโรงเรียน คิริมาทำเพียงกำหมัดแน่นๆ เม้มริมฝีปากสั่นระริกเข้าหากันอย่างพยายามจะข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ ก่อนจะหันหลังวิ่งหนีไปแบบไร้ทิศทาง ที่สุดเธอก็มาหยุดลงที่ดาดฟ้า สถานที่ต้องห้ามสำหรับเด็กนักเรียนทุกคนแต่ไม่รู้ว่าใครมาแอบเปิดประตูค้างเอาไว้ ร่างบอบบางทว่าสั่นเทาเดินไปนั่งลงที่ข้างผนังดาดฟ้าอย่างหมดแรง ทันใดนั้นความเจ็บปวดเสียใจที่กักเก็บไว้ก็พลันพรั่งพรูออกมาเป็นหยาดน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม พร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังลั่น
“ฮึก...ฮือ...ฉันมีแม่…ฉันมีแม่…ฮือ…”
เสียงร้องไห้ที่แว่วเข้าหูทำให้คนที่นอนหนุนแขนเหม่อมองท้องฟ้าสีหม่นถึงกับสะดุ้งเฮือกเพราะคิดว่าที่ได้ยินนั้นคือเสียงผี ทว่าครั้นลุกขึ้นแล้วเห็นใครบางคนนั่งก้มหน้ากอดเข่าร้องไห้อยู่อีกมุมหนึ่งของกำแพงดาดฟ้า เขาก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอด้วยความรำคาญปนหงุดหงิดงุ่นง่าน
บัดซบ! เขาเกลียดเสียงร้องไห้ และไม่ชอบน้ำตาผู้หญิง
อุตส่าห์หนีขึ้นมาพักผ่อนหย่อนใจในคาบเรียนที่อาจารย์ไม่เข้าสอนแต่ยังมิวายมีคนมาทำให้ความสงบสุขของเขาพังทลาย ครั้นเสียงร้องไห้บาดหูยังไม่หยุดหย่อน คนที่ถูกรบกวนเวลานอนในตอนบ่ายก็กลอกตาขึ้นฟ้า นับหนึ่งจนถึงสิบในใจแล้วปรากฏว่าอีกฝ่ายยังไม่หยุดปล่อยโฮเขาจึงหมดสิ้นความอดทน
“หยุดแหกปาก! แล้วไสหัวไปซะ!”
เจ้าถิ่นตวาดกร้าวไล่ตะเพิด แต่ดูเหมือนว่าคนที่ยังตกอยู่ในห้วงความเศร้าเสียใจอย่างแสนสาหัสจะไม่สนอะไรทั้งสิ้น แถมยังร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม
“โว้ย! บอกให้หุบปากไงวะ!”
คราวนี้น้ำเสียงกราดเกรี้ยวเจ้าอารมณ์ตวาดลั่นทำเอาคนที่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้เป็นเผาเต่าชะงักไปชั่วอึดใจ ก่อนจะสะอื้นฮัก แล้วปล่อยโฮออกมาอีกครา
“ฮึก…ฮือ…ไม่ต้องมาห้าม…คนเสียใจก็ต้องร้องไห้สิ…ฮือ…”
“จะไม่หยุดใช่ไหม”
“ฮือ…”
คำตอบที่ได้รับคือเสียงร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ได้…”
ทันใดนั้นหนุ่มหล่อจอมเย็นชาแต่ป็อปสุดๆ ของโรงเรียนก็จัดการถอดถุงเท้าของตัวเองออกหนึ่งข้าง มัดเป็นก้อนกลมๆ แล้วปาใส่หัวคนที่กำลังนั่งซบหน้าลงกับเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนจะขาดใจตาย
ตุ้บ!
“แหกปากร้องไห้อยู่ได้! คนจะนอน…รำคาญ!”
“รำคาญก็ปิดหูสิ”
หลังจากคลำหัวตัวเองป้อยๆ แล้วมองถุงเท้าที่ตกกระเด็นห่างออกไปเล็กน้อย คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าเสียใจก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นโมโหแทน
นี่เล่นเอาถุงเท้าปาหัวกันเลยเหรอ มันจะมากเกินไปแล้วนะ!
“อ้าว...ยัยนี่วอนโดนดีว่ะ”
ขาดคำเจ้าของถุงเท้าปริศนาก็ผุดลุกขึ้น แล้วเดินลากขายกไหล่ด้วยท่าทางกร่างๆ ไปหาคนที่เอาแต่ก้มหน้าเช็ดน้ำตาอย่างเอาเรื่อง
“เมื่อกี้เธอพูดว่าไงนะ”
เสียงเข้มๆ ของคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ทำให้คิริมาเม้มปากแน่น แทนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยตอบโต้เธอกลับต่อต้านด้วยการเลือกที่จะก้มหน้าปิดปากเงียบ และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดหนักกว่าเดิม
“ว่าไง…ซ่าหรือไงเรา”
หลังจากกลอกตาด้วยความไม่สบอารมณ์ เขาก็ยื่นมือมาผลักไหล่มนอย่างหาเรื่อง ทำเอาร่างบางผวาเฮือก เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางตื่นๆ และนั่นก็ทำให้คนที่ได้เห็นเสี้ยวหน้าใสๆ ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
“เฮ้! ฉันว่าฉันคุ้นๆ หน้าเธอนะ…ไหนดูซิ”
ขาดคำหัวโจกของโรงเรียนก็คว้าหมับเข้าที่ปลายคางมน แล้วบิดไปมาพลางจ้องใบหน้าขาวซีด แล้วกระตุกยิ้มตรงมุมปาก นัยน์ตาเต้นระริก
“จุๆๆ นึกว่าใคร ที่แท้ก็ยัยแว่นปากเก่งจอมอวดดีนี่เอง”
วาจาที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่ายทำให้คิริมาหูผึ่ง เงยพรึ่บขึ้นมองหน้าคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ ก่อนจะเบิกตากว้าง และหลุดอุทานออกมา
“นาย!”
“หึ…ได้ยินเขาพูดกันว่ามีนักเรียนใหม่ย้ายมาเรียนที่นี่เป็นเธอเองหรอกเหรอ ทำไมไม่ย้ายมาตั้งแต่ม.4 ย้ายมาทำไมตอนม.5” ถามไม่พอยังจับผมเธอเล่นอย่างหน้าตาเฉย
“เรื่องของฉัน”
หลังจากปัดมือเขาออกคิริมาก็เอ่ยตอบห้วนๆ ตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่ไอ้คนที่ทำตัวเป็นนักเลงกลับกดไหล่มนให้ลงไปนั่งจุมปุกอยู่กับพื้น แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกดึงแก้มเบาๆ
“ปากดี!”
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” ท่าทางขู่ฟ่อเหมือนลูกแมวน้อยทำให้เขานึกสนุก ครั้นเธอปัดมือเขาออกอย่างรำคาญ เขาก็เปลี่ยนมาดึงแก้มใสๆ อีกข้าง ทำเอาคนหวงตัวมองตาวาววับ
“จะแตะมีไรมะ”
“ไม่ให้แตะ”
“หวงตัวซะด้วยแฮะ”
“อย่ามาถูกตัวฉันนะ! ไอ้เด็กบ้า!”
คิริมาตะเบ็งเสียงด่าทออย่างหมดสิ้นความอดทน คำว่าเด็กบวกกับท่าทางคล้ายรำคาญเสียเต็มประดาทำให้เขาถึงกับของขึ้น เท้าสะเอวสวนกลับเสียงขุ่น
“ยัยแว่น! เกิดก่อนฉันแค่ปีเดียวอย่ามาทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยนักเลย”
“ก็นายมันเด็กจริงๆ นี่นา ไอ้เด็กไม่รู้จักโต”
“นี่เธอกล้าหือกับฉันเหรอยัยจืด!”
น้ำเสียงดุกระด้างถามด้วยท่าทางเอาเรื่อง ทว่านอกจากจะไม่ปริปากตอบโต้แล้ว คิริมายังจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาวาวโรจน์ ท่าทางขลาดกลัวแต่ก็ยังเผยอเชิดหน้าสู้ไม่ถอยทำให้เขานึกอยากเอาชนะขึ้นมาครามครัน
“ว่าไง…ฉันถามทำไมไม่ตอบ”
เขาไล่บี้ด้วยท่าทางยียวน ใบหน้าเย่อหยิ่งแฝงไปด้วยความกวนประสาทอย่างร้ายกาจ ก่อนจะโก่งตัวไปข้างหน้า เท้าแขนกับขอบผนังปูนของดาดฟ้า โดยมีร่างเล็กๆ ของคนที่ถูกคุกคามนั่งอยู่ด้านล่าง เธอมองเขาอย่างหวั่นๆ ขยับขามาชันเข่าแล้วกอดมันไว้ราวกับจะเป็นหลักยึด แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายก้มลงมากระซิบคาดคั้น
“ฉันถาม…ก็ตอบสิวะ”
